วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันสิ้นโลก 2


แกนโลกสลับขั้ว ไขความจริง สมมติฐานนาซ่า เกิดน้ำท่วมโลก จริงหรือ ???


แกนโลกสลับขั้ว  ไขความจริง สมมติฐานนาซ่า เกิด น้ำท่วมโลก จริงหรือ ???
Mthainews: น้ำท่วมโลก” ภัยพิบัติที่นำไปสู่  วันสิ้นโลก ปี2012 ยังคงเป็นประเด็นร้อน สำหรับชาวโลกที่เริ่มตื่นตัว หลังจากหลายพื้นที่ประสบกับเหตุอุทกภัย ที่บางพื้นที่ไม่เคยเกิดขึ้น หนึ่งในสมมติฐานของเหตุนี้ ก็คือ เรื่องแกนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง จนเกิดความแปรปรวน
สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แกนโลกที่เคลื่อนตัวพลิกกลับขั้วจากเหนือไปใต้ ทำให้พลังสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง แกนโลกเอียงจาก 23.5 องศาเป็น 24.5 องศา นั่นเองเป็นที่มาของภาวะโลกร้อน เนื่องจากน้ำแข็งทั่วโลกละลายด้วยอัตราที่รวดเร็ว และมีการแจ้งเตือนมานานกว่า 10 ปี แล้ว ในปี 2012นี้ จึงอาจเกิดภาวะที่ แกนโลกพลิกขั้ว ขึ้น

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงไว้ว่า พื้นที่กว่า 2.2 ล้านตารางกิโลเมตร มีน้ำแข็งกว่า 19 ร้อยล้านตัน น้ำแข็งกำลังละลายเป็นน้ำวันละ 1 ล้านตัน โดยจะไหลลงมาสะสมจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2012
หากเชื่อมโยงกับเหตุภัยพิบัติสึนามิครั้งใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ความรุนแรง 8.9 ริคเตอร์ ทำให้เกาะฮอนชูของญี่ปุ่น ขยับไปทางตะวันออก 8 ฟุต และมีรายงานว่าแกนโลกมีการเปลี่ยนแปลง โดยสถาบันธรณีฟิสิคส์และภูเขาไฟในอิตาลี ประเมินว่า แผ่นดินไหวที่มีแรงสั่นสะเทือนถึง 8.9 ริคเตอร์ ได้ทำให้เแกนโลกขยับไปเกือบ 10 เซ็นติเมตร

ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังเกิดสึนามิ ส่งผลให้เกาะฮอนชูเคลื่อนไปทางตะวันออก 8 ฟุต
แต่ปัจจุบัน มีการโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่มองว่า เหตุการ์แผ่นดินไหว จนเกิดสึนามินั้น เมื่อนำอัตราการเคลื่อนของพื้นผิวโลก มาเทียบกับความใหญ่โตมโหฬารของโลกถือว่าน้อยมาก ฉะนั้นแกนโลกที่เคลื่อนเอียงเพียงแค่ไม่กี่เมตร แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ไม่ส่งผลให้โลกเอียงถึง 1 องศา  จึงยังไม่ใช่ 24.5 องศา ตามที่เข้าใจ
อย่างไรก็ดีกระทบด้านอื่นๆ ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
นายริชาร์ด กรอสส์ จากศูนย์ปฏิบัติการวิจัยแรงขับเคลื่อนพลังงานแห่งองค์การนาซา ที่เมืองพาซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการส่งผ่านมวลของโลก ซึ่งนั่นทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น  และทำให้เวลาในหนึ่งวันลดลง 1.8 ไมโครวินาที
มีการตั้งข้อโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม ที่ไม่ฟันธงเสียที่เดียวว่า ภาวะน้ำท่วมในปัจจุบัน จะเป็นเค้าลางของน้ำท่วมโลกในปี 2012 เพราะยังคงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ประเทศไทยเกิดน้ำท่วม เช่น
-ไม่มีการจัดการรองรับปริมาณน้ำที่ดีพอ 
-ปริมาณฝนที่มาผิดปกติในแต่ละปี ซึ่งเกิดจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ 
-อีกทั้งกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ที่รองรับน้ำได้จำกัด หากปริมาณน้ำฝน ไหลผ่าน เกิน2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก็เกิดภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก

ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วม ก็คือ พื้นที่ชายฝั่งทะเลไทย ซึ่งเป็นพื้นดินอ่อนมีการทรุดตัวลง และหายไปปีละประมาณ 10 เมตร  คาดว่าอีก 40 ปีข้างหน้า แผ่นดินก็จะทรุดลงอีกประมาณ 30 ซม.เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้น้ำท่วมได้ง่าย
จังหวัดที่มีพื้นที่ใกล้กับทะเลจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นเมืองบาดาลในอนาคต ด้วยสมมติฐานที่ว่า ชายฝั่งทะเลทรุดตัว มีการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ขวางทางน้ำไหล ไม่ใช่แกนโลกเอียง ภัยพิบัติน้ำท่วมโลกของนาซ่า ยังคงเป็นเพียงสมมติฐาน ที่ต้องค้นหาความจริง และพิสูจน์กันต่อไป
แต่สิ่งที่เราต้องรับมือในขณะนี้ คือ เร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม บรรเทาภัยแก่ชาวบ้านที่ได้รับความเดือกร้อน  และเตรียมพร้อมหาวิธีป้องกันหากเกิดน้ำท่วมในครั้งต่อไป…ไม่ว่าสมมติฐานนาซ่าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยก็เป็นการเตือนสติ ให้ชาวโลกตระหนักถึงผลกระทบ หากยังคงทำลายทรัพยากรธรรมชาติไปมากกว่านี้

วันสิ้นโลก 2012 1


วันสิ้นโลก 2012

ยาวหน่อยนะครับ  อ่านกันนานเลย สำหรับคนที่ชอบเรื่องพวกนี้ เหมือนผมอ่านกันมันส์ดี  [smiley=grin.gif]
นี่ คือหลักข้อสันนิฐานตามหลัก ด้านวิทยาศาสตร์   โหรศาสตร์   และคำทำนาย ซึ่งผมได้รวบรวมข้อมูลต่างๆๆมาให้ทุกคนได้อ่านเป็นความรู้กัน   ผมไม่ได้ให้ทุกคนต้องเชื่อ   โปรดใช้วิจารนญาน   แล้วผมคิดว่าข้อมูลพวกนี้ ไม่ได้มีคน กรุ ขึ้นมาอย่างแน่นอน  เพราะมีหลักฐานความเป็นไปได้หมด  อ้างอิงจากส่วนต่างๆๆมากมายจนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นไทย หรือต่างประเทศ  ทุกศาสตร์ พูดเป็นเสียงเดียวกัน  ไม่เว้นแม้กระทั้ง ภาพยนตร์ก้อยังทำออกมาให้ชม  บางคนอาจไม่เชื่อ เพราะว่าเป็นเรื่องเหลวไหล  (ชึ่งไม่ผิดเพราะว่าเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง มันเป็นเรื่องของอนาคต)   บางคนอาจเชื่อ เพราะว่า หลักฐานต่างๆๆที่ปรากฏบ่งบอก  หรือเชื่อในคำทำนาย...........
ข้อมูลทั้งหมดนี้ผมชึ่งได้รวบศาสตร์ทั้งหมด  ที่อ้างอิงสิ่งที่จะเิกิดในปี คศ 2012 
1.ด้านวิทยาศาสตร์
2.ด้านโหรศาสตร์
3.ด้านคำทำนาย
4.ด้านคำทำนายของศาสนา (ศาสนาพุทธ ของเราไว้ด้วย)
 ดาว นิบิรุ



เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล
ถ้าใครได้พอดูความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆ
แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้ว
ซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม
มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)
และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า...
สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้
แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ...
ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?
ิสิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ....
ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว
แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้
แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ
ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย
เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลกเลยครับ
แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกเราอย่างแน่นอน!!!
รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิรุครับ
มันเข้าใกล้มาจริงเร้อ?
เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าทางเราส่องดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะเห็น
แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว
(เส้นขาวๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครับ)
และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ของโลกนะ
ครับ
แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ...
แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีตหละ
นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน
แต่มารอบนี้ มาเทียบและทาบวงโคจรของดาวนิบิรุ คาดว่ามีโอกาสที่จะชนกันสูง
หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตราย
เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ
เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ นา
และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว
ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA :Xปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น
ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!!
(ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)
อย่างที่รู้ๆกันว่า ดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า นิบิรุ จะโคจรเข้ามาใกล้โลก ซึ่งมีผลกระทบอย่างแน่นอน
ดาวนิบิรุ (Planet X Nibiru)สันนิฐานว่าถูกดวงอาทิตย์จับไว้เมื่อ 500,000 ปีก่อน
ก่อนและหลังจากการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก
ผลกระทบ (เท่าที่รู้มา)
เนื่อง จากมันเป็นดาวฤกษ์ ซึ่งถ้ามันโคจรเข้าใกล้ๆวงโคจรของระบบสุริยะนี้ ก็สร้างความปั่นป่วนได้แล้ว (ปัจจุบัน ดาวยูเรนัสกับเนสจูนโดนเป็นประจำ) และวิถีโคจรของมันโดยองค์กรนาซ่าบอกว่า...จะโคจรเข้า มาใกล้มาๆและมันจะโคจรเข้าเป็นเส้นตรงพอดีในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 (ช่วงจบกึ่งกลางพุทธกาลพอดี) ก็คือ ดวงอาทิตย์ โลก และนิบิรุ อยู่ในระนาบเดียวกันพอดี วันนั้นจะเป็นวันวิบัติซึ่งจะมีผลดังนี้
1.สร้างความปั่นป่วนให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
2.น้ำจะขึ้นสูงมากๆจนเกิดวิกฤติการ์ที่เรียกว่า น้ำท่วมโลกหรือซุปเปอร์ซึนามิ
3.แผ่นดินไหวและภูเขาไฟไปทั่วโลก
4.ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
5.การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
6.ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก
7.สนาม แม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
8.กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใ กล้โลกได้ง่ายขึ้น
9.แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (มนุษย์น่าจะกระโดดได้สูงขึ้นกว่าเดิม)
10.DNA จะเกิดการผันแปร
ไม่หมดเพียงเท่านี้ หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่กี่เดือน เราจะเจอพายุสุริยะเข้าอย่างจัง ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่า สนามแม่เหล็กโลกช่วยป้องกันไม่ให้มันมีผลกระทบมากนัก เมื่อไม่มีก็วิบัติ มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือชนเผ่ามายาหรือมายันนี่เอง พวกเขาได้ทำปฏิทินไว้............  

21-12-2012 หมายถึง วันที่ 21 เดือนธันวาคม ค.ศ.2012 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในปฎิทินชาวมายัน...
ปฎิ ทินชาวยัน คือ ปฏิทินโบราณของชนเผ่าที่ชื่อว่า "มายัน" (บางทีจะเรียกว่า 'มายา') ในสมัยโบราณนั้น ชนเผ่ามายัน เป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคำนวณปีทางสุริยคติได ้อย่างแม่นยำที่สุด จะเห็นได้จากการคำนวณในปัจจุบันของเรา ซึ่งอยู่ที่ 365.2420 วัน ขณะที่การคำนวณของชนเผ่า มายัน ซึ่งใช้วิธีการคำนวณตามแบบของตนเองและอุปกรณ์ต่างๆ จากพีระมิดที่สูงที่สุดของเขาจะคำนวณได้ 365.2420 แตกต่างกันเพียง 0.0002 ของหนึ่งวัน ซึ่งการคำนวณครั้งนี้ปรากฏมาตั้งแต่ระยะเวลาหลายพันป ีที่แล้ว ก่อนหน้าที่ชาติอื่นๆ จะคำนวณปฏิทินทางสุริยะคติได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ แล้วชาว มายัน สามารถคำนวณจากการสังเกตดวงดาวได้อย่างแม่นยำก่อนหน้ าที่จะมีการประดิษฐ์กล้องส่องดูดาวขึ้นมาได้อย่างไร? *ปัจจุบัน ปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ก็มาจากชาวมายันนั้นเอง
  ปฎิทินของชาวมายัน
ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดี
ก่อนเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า “อาทิตย์ดวงที่ 5” ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารไล่เรียงตั้งแต่ภัย ธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึงสงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนได้มีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกครั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อดัง
น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายัน
ยัง มีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะเกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วงฤดูหนาวของ ปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ระนาบเดียวกับใจกลางของทางข้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอง 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเป็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)
สมมุติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลายแหล่ข้างต้น จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าว ๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่าง ๆ นับจากศูนย์
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำ ครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำงานหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือโศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน อาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเวณที่เคยเกิดสึนามิมาก่อน
และเป็นที่น่าสักเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจาก “ภาวะโลกร้อน” แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเอง โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ณ วันนั้น?
เป็น คำถามที่ทุกๆคนถามถึง...ซึ่งทางวิทยาศาสตร์, โหราศาสตร์, โบราณคดี, การทำนาย...ได้ให้คำตอบไว้แล้ว ซึ่งดันมาตรงกับ 21-12-2012 พอดิบพอดี (เหลือเชื่อ - -)
ทางวิทยาศาสตร์ - "วันนั้นจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 'การพลิกขั้วกลับของสนามแม่เหล็กโลก' จากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี